วันเสาร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

Let's to Learn English with Me


                   
                                                                                                การแนะนำตนเอง (Introducing Oneself)

การแนะนำตัวเองเป็นภาษาอังกฤษแบบง่ายๆ  ไม่ยากเย็น  ให้เริ่มโดยการทักทายก่อนเป็นอันดับแรก แล้วค่อยบอกว่าเราชื่ออะไร เป็นใคร มาจากไหน และแสดงความยินดีที่ได้รู้จัก แค่นี้ก็พอค่ะ
ซึ่งการแนะนำตนเองก็มีแบบง่ายๆเป็นกันเอง และการแนะนำตนเองอย่างเป็นทางการ ซึ่งถ้าเราเป็นนักเรียนก็แนะนำแบบเป็นกันเองก็ได้
      ส่วนการแนะนำตนเองอย่างเป็นทางการนั้น สำหรับนักธุรกิจและผู้นำระดับบิ๊กๆ แล้วกัน จำไว้ว่าการแนะนำตัวเองควรประกอบด้วยสี่ส่วนคือทักทาย บอกชื่อ บอกข้อมูลเพิ่มเติมเล็กน้อย กล่าวแสดงความรู้สึกดีที่ได้เจอกัน  

   วันนี้ English class for you ขอนำเสนอตัวอย่างประโยคแนะนำตัวเป็นภาษาอังกฤษง่ายๆ พร้อมคำแปล มาฝากกันค่ะ

การแนะนำตนเองแบบเป็นกันเอง
Hello. (ทักทาย)
เฮ็ลโล๊ (สวัสดี)
My name’s Tongdee. (บอกชื่อ)
มาย เนมส ทองดี (ผมชื่อทองดี)
I’m from Thailand. (ข้อมูลเพิ่มเติม)
ไอม ฟรอม ไท๊แลนด (ผมมาจากประเทศไทย)
I’m an exchange student. (ข้อมูลเพิ่มเติม)
ไอม เมิน นิกซเช๊นจ สติ๊วเดินท (ผมเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน)
Glad to meet you. (แสดงความยินดีที่ได้เจอกัน)
แกลด ทะ มีท ชู (ดีใจที่ได้เจอกัน)
      หลังจากที่น้องๆได้เห็นประโยคตัวย่างในการเเนะนำตัวเองแล้วทาง English class for you ก็ได้นำคลิป VDO มาให้น้องๆได้ดูเป็นตัวอย่างด้วยลองคลิกเพื่อศึกษาเป็นตัวอย่างได้ที่ลิ้งด้านล่างกันได้เลยค่ะ






                             
    คำศัพท์ (Vocabulary)

     การสอนศัพท์มีความสำคัญในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ ผู้สอนภาษาส่วนใหญ่ต่างเห็นว่าคำศัพท์เป็นองค์ประกอบที่ใหญ่ที่สุดในการเรียนภาษาไม่ว่าผู้เรียนจะเก่งไวยากรณ์หรือการออกเสียงมากสัเท่าใด แต่ถ้าไม่รู้คำศัพท์มากพอ การสนทนาก็จะไม่สามารถดำเนินไปได้อย่างสมบูรณ์  การเรียนการสอนคำศัพท์ในห้องเรียนควรสอนคำศัพท์ที่เป็นหลัก เพราะคำศัพท์เหล่านี้จะพบบ่อยที่สุดในการใช้ภาษานั้น ๆ ดังนั้นผู้เรียนควรได้เรียนรู้คำนี้ก่อนในเบื้องต้น และอาจเรียนคำอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ในชั้นต่อไป


  ซึ่งวันนี้ทาง English class for you ขอนำเสนอคำศัพท์ 

"Restaurant " ซึ่งน้องๆสามารถศึกษาได้จากคลิป 
VDO ด้าน

ล่างได้เลย ซึ่งในVDO น้องๆๆก็จะได้รู้ความหมายของคำ การ

อ่านออกเสียง หน้าที่ของคำ เเละรวมถึงตัวอย่างการใช้คำศัพท์

อีกด้วย  ถ้าน้องๆอยากรู้เเล้วก็คลิกลิ้งด้านล่างได้เล๊ย..... 





วันพฤหัสบดีที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2557

Asking directions


        ในการบอกทิศทางนั้น ต้องคำนึงถึงความถูกต้องของเส้นทางและการเดินทางที่สะดวกเพื่อให้ผู้ถามไม่สับสนหรือหลงเส้นทาง เลือกใช้ประโยคที่กระชับและเหมาะสมซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นต่อการเรียนรู้บทสนทนาภาษาอังกฤษ เราจึงจำเป็นต้องรู้ทั้งวิธีถามและตอบ
  

สำนวนการถามทิศทางที่นิยมใช้มีดังนี้
Excuse me, can  you  tell  me  how  to  get  to the museum, please?
(ขอโทษครับ กรุณาบอกทางไปพิพิธภัณฑ์หน่อยครับ)
Could you tell me the way to the supermarket, please?
(กรุณาช่วยบอกทางไปห้างสรรพสินค้าหน่อยครับ
Excuse me, can/could you give me direction to the university, please?
(ขอโทษครับ กรุณาช่วยบอกทางไปมหาวิทยาลัยหน่อยครับ)
นอกจากนี้ยังมีสำนวนอื่นๆ อีก เช่น
Can/Could  you tell me where .....  is?
Can/Could you direct me to....., please?
Excuse me. I’m looking for..... .
Is this the way to.....? เป็นสำนวนที่ใช้ถามในกรณีที่ผู้ถามต้องการถามเพื่อให้แน่ใจว่า  กำลังเดินไปตามทิศทางที่ถูกต้อง  เช่น
Is the way to the supermarket?
(นี่เป็นทางไปห้างสรรพสินค้าใช่ไหมครับ)
การบอกทิศทาง  สามารถใช้ได้หลายสำนวน  เช่น 
1. การบอกระยะทางว่า อยู่ห่างแค่ไหน เช่น        
-  It’s about a mile from here.
   (ประมาณหนึ่งไมล์จากตรงนี้)
-  It’s about 200 meters from here.
    (ประมาณสองร้อยเมตรจากตรงนี้)
2. บอกเส้นทางโดยใช้รถประจำทาง เช่น
-  Take a number 21 bus. That will take you past museum. And then youget off at university.
    (ขึ้นรถประจำทางหมายเลข 21 คุณจะผ่านพิพิธภัณฑ์ หลังจากนั้นให้คุณลงที่มหาวิทยาลัย)
3. บอกเส้นทางโดยให้เดินไป  เช่น
          -  Go straight  ahead until you come to the traffic lights, then turn right.
             (เดินตรงไปข้างหน้าจนถึงสัญญาณไฟจราจร  จากนั้นก็เลี้ยวขวา)
          -  It’s about a ten-minute walk.
             (เดินไปประมาณ 10 นาที)
4. บอกเส้นทางโดยใช้รถแท็กซี่  เช่น
          -  You can catch a taxi. It’ll take you there in 10 minutes.
              (คุณสามารถเรียกแท็กซี่ จะใช้เวลาเดินทาง 10 นาที)

คำศัพท์และสำนวนที่น่าสนใจเกี่ยวกับการบอกทิศทาง
  • ขึ้นรถ =  take / catch / get on
  • ลงรถ  =  get off
  • หมายเลขรถ = bus number..... / a number.....  Bus
  • ป้ายรถเมล์  = bus stop
  • ค่าโดยสาร = fare
  • เลี้ยวซ้าย   = turn left
  • เลี้ยวขวา   = turn right 
  • ทางซ้าย = on the left
  • ทางขวา = on the right
  • ข้ามถนน = cross the road
  • เดินผ่าน = walk past / go past
  • ทางแยก = intersection / crossroads
  • สุดถนน = at the end of the road
  • ก่อนถึง = just before
  • เดินตรงไป = Go straight. / Go straight ahead. / Keep going straight. /  Walk along the road.
  • เดินไปเรื่อยๆ จนถึง... = Keep going until you get to…
  • เลี้ยวที่แยกแรก / แยกที่สอง = Take the first / second turn.
  • มันอยู่ใกล้กับ... = It’s near / close to…
  • มันไม่ไกลจากที่นี่ = It’s not far from here.
  • มันอยู่ห่างจากที่นี่ 3 กิโลเมตร = It’s 3 kilometers from here.
  • มันอยู่ห่างจากที่นี่ประมาณ 200 เมตร = It’s about 200 meters away from here.  
ข้อควรจำ  
       ถ้าเราต้องเรียกร้องความสนใจของผู้หนึ่งผู้ใดให้หันกลับมา อย่าใช้คำว่า “you” หรือ “Hi, you” อะไรทำนองนี้เด็ดขาด เพราะถือว่าเป็นการไม่สุภาพ เป็นการจิกหัวเรียก ควรใช้คำว่า “Excuse me” หรือ “Pardon me” ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น

^_^ มาฝึกพูดกันหน่อยนะ

Conversation 1
A: Where is the public library, please?
B: It is in Broad Street, near the Town Hall.
A: How do I get there?
B: Well, you could walk. But it’s better to take a bus number 8.It will take you straight there.
A: Thanks a lot.


Conversation 2
A: Excuse me, could you tell me where the Scala Cinema is , please?
B: Let me see. Oh yes, of course, I know. It’s in Lincoln Square, opposite the Asia Hotel.
A: Is that near here?
B: Oh yes, it’s just a few minutes walk. Turn left at the traffic lights and you’ll see it.
A: Thank you very much.

ต่ถ้าจะให้เก่งครบสูตรต้องลองทำแบบฝึกหัดด้วยนะจร๊ะ ^_^

 Direction: Look at the map ,then chose true or false.



You are here • 

1.  The jewelry store is behind the Italian restaurant 
2.  The bar is on Second Avenue 
3.  The police station is on the left from Fire Department 
4.  The toy store is across from the Chinese restaurant 
5.  The movie theater is opposite the Book store 
6.  The sporting goods store is behind the Furniture store 
7.  The bar is next to the Chinese restaurant 






How to Excellence in Speaking English

 มีหลายๆ คนอยากทราบวิธีที่พูดภาษาอังกฤษให้เก่ง
ในที่นี้จะนำเสนอ วิธีที่คุณ แอนดรูว์ บิ๊กส์ ได้แนะนำเอาไว้นะค๊ะ

1.RULE NUMBER ONE - FORGET THE RULES (ลืมกฎซะเถอะ)
การ พูด ไม่ใช่การเขียน ถ้าคุณจดจ่ออยู่กับเรื่องไวยากรณ์มากเกินไป คุณจะลืมเรื่องอื่นไปทันที การพูดคือ การสื่อสาร ดังนั้น กฎข้อ1 คือ ให้ลืมกฎ แล้วพูดไปเลย อ้าว!ถ้าพูดผิดล่ะ ก็ต้องอ่านกฎข้อ 2

2.RULE NUMBER TWO - MAKE MISTAKES (จงพูดผิด)
การพูดผิดคือบทเรียนที่เยี่ยมมาก ควรจะทำบ่อย และปล่อยให้เป็นธรรมชาติ เมื่อฝรั่งฟังใครพูดผิด เขามักจะแก้ให้ทันที เหมือนกับคนไทย เมื่อได้ยินฝรั่งพูดภาษาไทยผิด ก็จะบอกคำที่ถูกให้ ถ้าคำที่พูดผิดมันชวนขำ ใครก็ต้องหัวเราะ แต่เชื่อเถอะว่ามันไม่ใช่การหัวเราะเยาะ มันแค่ขำเท่านั้น คุณควรจะหัวเราะตามไป ครั้งต่อไปคุณจะจดจำได้และไม่พูดผิดอีกเลย

3.RULE NUMBER THREE - DON'T TRANSLATE (ห้ามแปลตรงตัว)
เมื่อคุณพูดภาษาไทย คุณคิดเป็นภาษาไทย เมื่อคุณพูดอังกฤษ ให้คิดเป็นอังกฤษ แต่ถ้ากลัวว่าทำอย่างนั้นแล้วจะพูดผิด ให้กลับไปอ่านกฎข้อ 2 ในเรื่องนี้ แอนดรูว์ บิ๊กส์ ยกตัวอย่าง 9 อันดับของการใช้ภาษาอังกฤษยอดแย่ของค่ายเทปชื่อดังมาให้ดูด้วย อย่างเช่น BLACK HEAD มันแปลว่า "สิวหัวดำ" น่ะ คุณเคยรู้บ้างไหม

4.RULE NUMBER FOUR - KEEP IT SIMPLE (ใช้ภาษาแบบง่ายๆ)
จุดประสงค์การพูดคือ ต้องการสื่อความหมายให้เข้าใจกัน เพราะฉนั้น ต้องใช้ศัพท์ที่อีกฝ่ายเข้าใจได้ง่าย ยิ่งง่ายยิ่งดีครับ

5.RULE NUMBER FIVE - COULD YOU PLEASE SLOW DOWN?(กรุณาพูดช้าๆหน่อย)

เป็นเรื่องจริงที่ว่า ฝรั่งบางคนพูดเร็ว บางคนพูดไม่ชัดอีกต่างหาก ปัญหานี้ควรทำอย่างไร ท่องประโยคนี้ให้ขึ้นใจเลยครับ"Excuse me. Could you please slow down?"
ข้อสังเกตในการออกเสียง โปรดระวัง ถ้าไม่ชัดเจน ฝรั่งจะฟังเป็น Kiss me ถ้าคุณเป็นผู้หญิง แย่เลย วิธีง่ายๆ ให้นึกถึงตัว X กับตัว Q ก็จะได้ X-Q-SMEE = Excuse me ออกเสียงตอนสุดท้ายเป็น "หมี" และ"ด๋                                          

6.RULE NUMBER SIX - LELAX(ทำตัวสบายๆ)
หายใจให้ลึก แล้วนึกว่าตัวเองลอยได้และยิ้ม เมื่อร่างกายของคุณรู้สึกสบาย คุณจะพูดได้คล่อง คิดได้ง่าย 

7.RULE NUMBER SEVEN - LISTEN AND COPY(ฟังแล้วเลียนแบบ)
เปิดหูให้กว้าง ฟังวิธีที่ฝรั่งออกเสียงคำแต่ละคำ เช่น Island ที่แปลว่า "เกาะ" มีตัว s แต่ฝรั่งไม่ออกเสียง คนไทย 90.5 % ชอบออกเสียง s ในคำนี้ ซึ่งผิด ที่ถูกต้องออกเสียงว่า "ไอ-แลนด์"

8.RULE NUMBER EIGHT - GUESS (เดา)
ไม่จำเป็นที่จะต้องเข้าใจทุกคำที่คุณได้ยินในภาษาอังกฤษ ฟังเพียงคำสำคัญๆในแต่ละประโยค เพื่อจับประเด็นหลักก็พอแล้ว ส่วนที่เหลือมักจะเป็นคำสั้นๆหยุมๆหยิมๆที่ไม่ค่อยมีความหมายมากนัก เราสามารถเดาได้ถ้าหากจะถามว่า "แล้วเมื่อไรจะเก่งพอที่จะเข้าใจได้ทุกคำเสียที่ล่ะ" คำตอบอยู่ที่กฎข้อต่อไป

9.RULE NUMBER NINE - GIVE YOURSELF TIME(ต้องให้เวลากับตัวเอง)
อย่าท้อใจเด็ดขาด อย่าแม้แต่คิด คุณต้องยอมให้ภาษาอังกฤษเข้าไปในชีวิตประจำวันของคุณ และใช้มันทุกวัน ถ้าชอบวิทยุก็ฟังวิทยุ ถ้าชอบดูหนังก็ดูหนังดูทีวี ครั้งแรกอาจเข้าใจไม่เกิน 10 % ต่อไปจะดีขึ้นเรื่อยๆ ทุกเช้าคุณควรยืนหน้ากระจก ส่องดูหน้าตัวเอง ส่งยิ้มไปพร้อมพูดว่า
"I'm getting better and better at English" วันละ 5 ครั้ง พูดเหมือนว่าคุณเชื่ออย่างนั้นจริงๆ

10.RULE NUMBER TEN - READ READ READ(อ่าน อ่าน และอ่าน)
การอ่านเป็นวิธีการที่ดีมากที่จะช่วยให้คุณพูดภาษาอังกฤษได้ดี แต่ต้องเป็นสิ่งที่คุณอยากอ่าน ไม่ใช่ถูกบังคับให้อ่าน ชอบแฟชั่น ชอบกีฬา ชอบทำอาหาร เลือกอ่านในสิ่งที่เราชอบ โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์ จะมีบางส่วนที่เราชื่นชอบอยู่ด้วยแน่นอน เมื่อคุณอ่าน ไม่ต้องเปิดพจนานุกรมทุกครั้งที่เจอศัพท์ที่ไม่เข้าใจ ให้อ่านทั้งวลี ทั้งประโยค หรือย่อหน้า แล้วลองเดาความหมายดู แต่เมื่อเจอคำศัพท์ยากนั้นบ่อยครั้งขึ้น อนุญาตให้เปิดพจนานุกรมได้

11.แถมอีกกฎหนึ่ง - FIND A FOREIGN FRIEND(หาเพื่อนฝรั่ง)

ถ้าคุณมีเพื่อนเป็นฝรั่ง คุณสามารถฝึกหัดภาษาอังกฤษได้ทุกวัน ใช้โทรศัพท์คุยกับเพื่อนฝรั่ง คุณเสียแค่ 3 บาทเท่านั้น และคุณยังจะได้เข้าใจวัฒนธรรมของคนต่างชาติดียิ่งขึ้นอีกด้วย จากการที่มีเพื่อน ที่ไม่ใช่คนชาติเดียวกัน