วันเสาร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

Let's to Learn English with Me


                   
                                                                                                การแนะนำตนเอง (Introducing Oneself)

การแนะนำตัวเองเป็นภาษาอังกฤษแบบง่ายๆ  ไม่ยากเย็น  ให้เริ่มโดยการทักทายก่อนเป็นอันดับแรก แล้วค่อยบอกว่าเราชื่ออะไร เป็นใคร มาจากไหน และแสดงความยินดีที่ได้รู้จัก แค่นี้ก็พอค่ะ
ซึ่งการแนะนำตนเองก็มีแบบง่ายๆเป็นกันเอง และการแนะนำตนเองอย่างเป็นทางการ ซึ่งถ้าเราเป็นนักเรียนก็แนะนำแบบเป็นกันเองก็ได้
      ส่วนการแนะนำตนเองอย่างเป็นทางการนั้น สำหรับนักธุรกิจและผู้นำระดับบิ๊กๆ แล้วกัน จำไว้ว่าการแนะนำตัวเองควรประกอบด้วยสี่ส่วนคือทักทาย บอกชื่อ บอกข้อมูลเพิ่มเติมเล็กน้อย กล่าวแสดงความรู้สึกดีที่ได้เจอกัน  

   วันนี้ English class for you ขอนำเสนอตัวอย่างประโยคแนะนำตัวเป็นภาษาอังกฤษง่ายๆ พร้อมคำแปล มาฝากกันค่ะ

การแนะนำตนเองแบบเป็นกันเอง
Hello. (ทักทาย)
เฮ็ลโล๊ (สวัสดี)
My name’s Tongdee. (บอกชื่อ)
มาย เนมส ทองดี (ผมชื่อทองดี)
I’m from Thailand. (ข้อมูลเพิ่มเติม)
ไอม ฟรอม ไท๊แลนด (ผมมาจากประเทศไทย)
I’m an exchange student. (ข้อมูลเพิ่มเติม)
ไอม เมิน นิกซเช๊นจ สติ๊วเดินท (ผมเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน)
Glad to meet you. (แสดงความยินดีที่ได้เจอกัน)
แกลด ทะ มีท ชู (ดีใจที่ได้เจอกัน)
      หลังจากที่น้องๆได้เห็นประโยคตัวย่างในการเเนะนำตัวเองแล้วทาง English class for you ก็ได้นำคลิป VDO มาให้น้องๆได้ดูเป็นตัวอย่างด้วยลองคลิกเพื่อศึกษาเป็นตัวอย่างได้ที่ลิ้งด้านล่างกันได้เลยค่ะ






                             
    คำศัพท์ (Vocabulary)

     การสอนศัพท์มีความสำคัญในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ ผู้สอนภาษาส่วนใหญ่ต่างเห็นว่าคำศัพท์เป็นองค์ประกอบที่ใหญ่ที่สุดในการเรียนภาษาไม่ว่าผู้เรียนจะเก่งไวยากรณ์หรือการออกเสียงมากสัเท่าใด แต่ถ้าไม่รู้คำศัพท์มากพอ การสนทนาก็จะไม่สามารถดำเนินไปได้อย่างสมบูรณ์  การเรียนการสอนคำศัพท์ในห้องเรียนควรสอนคำศัพท์ที่เป็นหลัก เพราะคำศัพท์เหล่านี้จะพบบ่อยที่สุดในการใช้ภาษานั้น ๆ ดังนั้นผู้เรียนควรได้เรียนรู้คำนี้ก่อนในเบื้องต้น และอาจเรียนคำอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ในชั้นต่อไป


  ซึ่งวันนี้ทาง English class for you ขอนำเสนอคำศัพท์ 

"Restaurant " ซึ่งน้องๆสามารถศึกษาได้จากคลิป 
VDO ด้าน

ล่างได้เลย ซึ่งในVDO น้องๆๆก็จะได้รู้ความหมายของคำ การ

อ่านออกเสียง หน้าที่ของคำ เเละรวมถึงตัวอย่างการใช้คำศัพท์

อีกด้วย  ถ้าน้องๆอยากรู้เเล้วก็คลิกลิ้งด้านล่างได้เล๊ย..... 





วันพฤหัสบดีที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2557

Asking directions


        ในการบอกทิศทางนั้น ต้องคำนึงถึงความถูกต้องของเส้นทางและการเดินทางที่สะดวกเพื่อให้ผู้ถามไม่สับสนหรือหลงเส้นทาง เลือกใช้ประโยคที่กระชับและเหมาะสมซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นต่อการเรียนรู้บทสนทนาภาษาอังกฤษ เราจึงจำเป็นต้องรู้ทั้งวิธีถามและตอบ
  

สำนวนการถามทิศทางที่นิยมใช้มีดังนี้
Excuse me, can  you  tell  me  how  to  get  to the museum, please?
(ขอโทษครับ กรุณาบอกทางไปพิพิธภัณฑ์หน่อยครับ)
Could you tell me the way to the supermarket, please?
(กรุณาช่วยบอกทางไปห้างสรรพสินค้าหน่อยครับ
Excuse me, can/could you give me direction to the university, please?
(ขอโทษครับ กรุณาช่วยบอกทางไปมหาวิทยาลัยหน่อยครับ)
นอกจากนี้ยังมีสำนวนอื่นๆ อีก เช่น
Can/Could  you tell me where .....  is?
Can/Could you direct me to....., please?
Excuse me. I’m looking for..... .
Is this the way to.....? เป็นสำนวนที่ใช้ถามในกรณีที่ผู้ถามต้องการถามเพื่อให้แน่ใจว่า  กำลังเดินไปตามทิศทางที่ถูกต้อง  เช่น
Is the way to the supermarket?
(นี่เป็นทางไปห้างสรรพสินค้าใช่ไหมครับ)
การบอกทิศทาง  สามารถใช้ได้หลายสำนวน  เช่น 
1. การบอกระยะทางว่า อยู่ห่างแค่ไหน เช่น        
-  It’s about a mile from here.
   (ประมาณหนึ่งไมล์จากตรงนี้)
-  It’s about 200 meters from here.
    (ประมาณสองร้อยเมตรจากตรงนี้)
2. บอกเส้นทางโดยใช้รถประจำทาง เช่น
-  Take a number 21 bus. That will take you past museum. And then youget off at university.
    (ขึ้นรถประจำทางหมายเลข 21 คุณจะผ่านพิพิธภัณฑ์ หลังจากนั้นให้คุณลงที่มหาวิทยาลัย)
3. บอกเส้นทางโดยให้เดินไป  เช่น
          -  Go straight  ahead until you come to the traffic lights, then turn right.
             (เดินตรงไปข้างหน้าจนถึงสัญญาณไฟจราจร  จากนั้นก็เลี้ยวขวา)
          -  It’s about a ten-minute walk.
             (เดินไปประมาณ 10 นาที)
4. บอกเส้นทางโดยใช้รถแท็กซี่  เช่น
          -  You can catch a taxi. It’ll take you there in 10 minutes.
              (คุณสามารถเรียกแท็กซี่ จะใช้เวลาเดินทาง 10 นาที)

คำศัพท์และสำนวนที่น่าสนใจเกี่ยวกับการบอกทิศทาง
  • ขึ้นรถ =  take / catch / get on
  • ลงรถ  =  get off
  • หมายเลขรถ = bus number..... / a number.....  Bus
  • ป้ายรถเมล์  = bus stop
  • ค่าโดยสาร = fare
  • เลี้ยวซ้าย   = turn left
  • เลี้ยวขวา   = turn right 
  • ทางซ้าย = on the left
  • ทางขวา = on the right
  • ข้ามถนน = cross the road
  • เดินผ่าน = walk past / go past
  • ทางแยก = intersection / crossroads
  • สุดถนน = at the end of the road
  • ก่อนถึง = just before
  • เดินตรงไป = Go straight. / Go straight ahead. / Keep going straight. /  Walk along the road.
  • เดินไปเรื่อยๆ จนถึง... = Keep going until you get to…
  • เลี้ยวที่แยกแรก / แยกที่สอง = Take the first / second turn.
  • มันอยู่ใกล้กับ... = It’s near / close to…
  • มันไม่ไกลจากที่นี่ = It’s not far from here.
  • มันอยู่ห่างจากที่นี่ 3 กิโลเมตร = It’s 3 kilometers from here.
  • มันอยู่ห่างจากที่นี่ประมาณ 200 เมตร = It’s about 200 meters away from here.  
ข้อควรจำ  
       ถ้าเราต้องเรียกร้องความสนใจของผู้หนึ่งผู้ใดให้หันกลับมา อย่าใช้คำว่า “you” หรือ “Hi, you” อะไรทำนองนี้เด็ดขาด เพราะถือว่าเป็นการไม่สุภาพ เป็นการจิกหัวเรียก ควรใช้คำว่า “Excuse me” หรือ “Pardon me” ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น

^_^ มาฝึกพูดกันหน่อยนะ

Conversation 1
A: Where is the public library, please?
B: It is in Broad Street, near the Town Hall.
A: How do I get there?
B: Well, you could walk. But it’s better to take a bus number 8.It will take you straight there.
A: Thanks a lot.


Conversation 2
A: Excuse me, could you tell me where the Scala Cinema is , please?
B: Let me see. Oh yes, of course, I know. It’s in Lincoln Square, opposite the Asia Hotel.
A: Is that near here?
B: Oh yes, it’s just a few minutes walk. Turn left at the traffic lights and you’ll see it.
A: Thank you very much.

ต่ถ้าจะให้เก่งครบสูตรต้องลองทำแบบฝึกหัดด้วยนะจร๊ะ ^_^

 Direction: Look at the map ,then chose true or false.



You are here • 

1.  The jewelry store is behind the Italian restaurant 
2.  The bar is on Second Avenue 
3.  The police station is on the left from Fire Department 
4.  The toy store is across from the Chinese restaurant 
5.  The movie theater is opposite the Book store 
6.  The sporting goods store is behind the Furniture store 
7.  The bar is next to the Chinese restaurant 






How to Excellence in Speaking English

 มีหลายๆ คนอยากทราบวิธีที่พูดภาษาอังกฤษให้เก่ง
ในที่นี้จะนำเสนอ วิธีที่คุณ แอนดรูว์ บิ๊กส์ ได้แนะนำเอาไว้นะค๊ะ

1.RULE NUMBER ONE - FORGET THE RULES (ลืมกฎซะเถอะ)
การ พูด ไม่ใช่การเขียน ถ้าคุณจดจ่ออยู่กับเรื่องไวยากรณ์มากเกินไป คุณจะลืมเรื่องอื่นไปทันที การพูดคือ การสื่อสาร ดังนั้น กฎข้อ1 คือ ให้ลืมกฎ แล้วพูดไปเลย อ้าว!ถ้าพูดผิดล่ะ ก็ต้องอ่านกฎข้อ 2

2.RULE NUMBER TWO - MAKE MISTAKES (จงพูดผิด)
การพูดผิดคือบทเรียนที่เยี่ยมมาก ควรจะทำบ่อย และปล่อยให้เป็นธรรมชาติ เมื่อฝรั่งฟังใครพูดผิด เขามักจะแก้ให้ทันที เหมือนกับคนไทย เมื่อได้ยินฝรั่งพูดภาษาไทยผิด ก็จะบอกคำที่ถูกให้ ถ้าคำที่พูดผิดมันชวนขำ ใครก็ต้องหัวเราะ แต่เชื่อเถอะว่ามันไม่ใช่การหัวเราะเยาะ มันแค่ขำเท่านั้น คุณควรจะหัวเราะตามไป ครั้งต่อไปคุณจะจดจำได้และไม่พูดผิดอีกเลย

3.RULE NUMBER THREE - DON'T TRANSLATE (ห้ามแปลตรงตัว)
เมื่อคุณพูดภาษาไทย คุณคิดเป็นภาษาไทย เมื่อคุณพูดอังกฤษ ให้คิดเป็นอังกฤษ แต่ถ้ากลัวว่าทำอย่างนั้นแล้วจะพูดผิด ให้กลับไปอ่านกฎข้อ 2 ในเรื่องนี้ แอนดรูว์ บิ๊กส์ ยกตัวอย่าง 9 อันดับของการใช้ภาษาอังกฤษยอดแย่ของค่ายเทปชื่อดังมาให้ดูด้วย อย่างเช่น BLACK HEAD มันแปลว่า "สิวหัวดำ" น่ะ คุณเคยรู้บ้างไหม

4.RULE NUMBER FOUR - KEEP IT SIMPLE (ใช้ภาษาแบบง่ายๆ)
จุดประสงค์การพูดคือ ต้องการสื่อความหมายให้เข้าใจกัน เพราะฉนั้น ต้องใช้ศัพท์ที่อีกฝ่ายเข้าใจได้ง่าย ยิ่งง่ายยิ่งดีครับ

5.RULE NUMBER FIVE - COULD YOU PLEASE SLOW DOWN?(กรุณาพูดช้าๆหน่อย)

เป็นเรื่องจริงที่ว่า ฝรั่งบางคนพูดเร็ว บางคนพูดไม่ชัดอีกต่างหาก ปัญหานี้ควรทำอย่างไร ท่องประโยคนี้ให้ขึ้นใจเลยครับ"Excuse me. Could you please slow down?"
ข้อสังเกตในการออกเสียง โปรดระวัง ถ้าไม่ชัดเจน ฝรั่งจะฟังเป็น Kiss me ถ้าคุณเป็นผู้หญิง แย่เลย วิธีง่ายๆ ให้นึกถึงตัว X กับตัว Q ก็จะได้ X-Q-SMEE = Excuse me ออกเสียงตอนสุดท้ายเป็น "หมี" และ"ด๋                                          

6.RULE NUMBER SIX - LELAX(ทำตัวสบายๆ)
หายใจให้ลึก แล้วนึกว่าตัวเองลอยได้และยิ้ม เมื่อร่างกายของคุณรู้สึกสบาย คุณจะพูดได้คล่อง คิดได้ง่าย 

7.RULE NUMBER SEVEN - LISTEN AND COPY(ฟังแล้วเลียนแบบ)
เปิดหูให้กว้าง ฟังวิธีที่ฝรั่งออกเสียงคำแต่ละคำ เช่น Island ที่แปลว่า "เกาะ" มีตัว s แต่ฝรั่งไม่ออกเสียง คนไทย 90.5 % ชอบออกเสียง s ในคำนี้ ซึ่งผิด ที่ถูกต้องออกเสียงว่า "ไอ-แลนด์"

8.RULE NUMBER EIGHT - GUESS (เดา)
ไม่จำเป็นที่จะต้องเข้าใจทุกคำที่คุณได้ยินในภาษาอังกฤษ ฟังเพียงคำสำคัญๆในแต่ละประโยค เพื่อจับประเด็นหลักก็พอแล้ว ส่วนที่เหลือมักจะเป็นคำสั้นๆหยุมๆหยิมๆที่ไม่ค่อยมีความหมายมากนัก เราสามารถเดาได้ถ้าหากจะถามว่า "แล้วเมื่อไรจะเก่งพอที่จะเข้าใจได้ทุกคำเสียที่ล่ะ" คำตอบอยู่ที่กฎข้อต่อไป

9.RULE NUMBER NINE - GIVE YOURSELF TIME(ต้องให้เวลากับตัวเอง)
อย่าท้อใจเด็ดขาด อย่าแม้แต่คิด คุณต้องยอมให้ภาษาอังกฤษเข้าไปในชีวิตประจำวันของคุณ และใช้มันทุกวัน ถ้าชอบวิทยุก็ฟังวิทยุ ถ้าชอบดูหนังก็ดูหนังดูทีวี ครั้งแรกอาจเข้าใจไม่เกิน 10 % ต่อไปจะดีขึ้นเรื่อยๆ ทุกเช้าคุณควรยืนหน้ากระจก ส่องดูหน้าตัวเอง ส่งยิ้มไปพร้อมพูดว่า
"I'm getting better and better at English" วันละ 5 ครั้ง พูดเหมือนว่าคุณเชื่ออย่างนั้นจริงๆ

10.RULE NUMBER TEN - READ READ READ(อ่าน อ่าน และอ่าน)
การอ่านเป็นวิธีการที่ดีมากที่จะช่วยให้คุณพูดภาษาอังกฤษได้ดี แต่ต้องเป็นสิ่งที่คุณอยากอ่าน ไม่ใช่ถูกบังคับให้อ่าน ชอบแฟชั่น ชอบกีฬา ชอบทำอาหาร เลือกอ่านในสิ่งที่เราชอบ โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์ จะมีบางส่วนที่เราชื่นชอบอยู่ด้วยแน่นอน เมื่อคุณอ่าน ไม่ต้องเปิดพจนานุกรมทุกครั้งที่เจอศัพท์ที่ไม่เข้าใจ ให้อ่านทั้งวลี ทั้งประโยค หรือย่อหน้า แล้วลองเดาความหมายดู แต่เมื่อเจอคำศัพท์ยากนั้นบ่อยครั้งขึ้น อนุญาตให้เปิดพจนานุกรมได้

11.แถมอีกกฎหนึ่ง - FIND A FOREIGN FRIEND(หาเพื่อนฝรั่ง)

ถ้าคุณมีเพื่อนเป็นฝรั่ง คุณสามารถฝึกหัดภาษาอังกฤษได้ทุกวัน ใช้โทรศัพท์คุยกับเพื่อนฝรั่ง คุณเสียแค่ 3 บาทเท่านั้น และคุณยังจะได้เข้าใจวัฒนธรรมของคนต่างชาติดียิ่งขึ้นอีกด้วย จากการที่มีเพื่อน ที่ไม่ใช่คนชาติเดียวกัน




วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2556

Reading (Main Idea)



การอ่านจับใจความสำคัญ (Reading for Main Idea)
การอ่านจับใจความสำคัญ (Reading for Main Idea)
ใจความสำคัญ (Main Idea) คืออะไร ?

Main Idea คือ ใจความสำคัญหรือใจความหลักของเรื่อง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่สุดของเรื่อง ซึ่งเป็นส่วนที่ครอบคลุมและควบคุมเรื่องนั้นๆ กล่าวคือ ในแต่ละย่อหน้าต้องมี main idea เพียงอันเดียว และถ้าเมื่อขาด main idea ไปแล้ว ย่อมจะทำให้ไม่เกิดเนื้อเรื่องต่างๆ ขึ้น หรือทำให้ไม่ทราบจุดประสงค์เรื่องนั้นๆ แล้วทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนได้โดยปกติแล้ว main idea จะเป็นประโยคเท่านั้น การวิเคราะห์และค้นหา main idea ได้ ต้องเกิดจากการค้นหา Topic มาก่อน และนำเอาส่วน topic มารวมกับข้อความ ที่คอยควบคุมสาระเกี่ยวกับ topic นั้น                               

ประเภทของ Main Idea:  โดยทั่วไป ใจความสำคัญมีอยู่ทั้งหมด 2ชนิดได้แก่

1. State main idea 
คือ หลักใหญ่ใจความที่สำคัญที่สุดของเรื่อง ซึ่งผู้เขียนบอกมาตรงๆ สามารถครอบคลุมเนื้อหาของเรื่องได้ทั้งหมด จะต้องตั้ง main idea ไว้ในการเขียน และบรรยายหรือธิบายโดยยึด main idea เป็นหลัก ส่วนที่ขยายหรือบรรยายให้รายละเอียดต่อจาก main idea คือ supporting idea โดยปกติ ในเนื้อความหนึ่งๆ เรามักจะพบ state main idea ได้ในตอนต้น ตอนกลาง หรือตอนท้ายของย่อหน้า


2. Implied main idea 
หมายถึง การกล่าวถึง main idea ในลักษณะที่ผู้เขียนไม่ได้เอ่ยมาตรงๆ ทันที เพียงแต่แสดงนัยให้เห็นเท่านั้น ผู้อ่านต้องวินิฉัยเอาเองเพื่อให้เห็นได้ชัดๆ Main Idea มีกี่ชนิดตำแหน่งของ Main Idea อยู่ตรงไหนบ้าง
2.1. อยู่ตรงต้นเรื่อง 
ตัวอย่าง: A baby elephant is the biggest of all land babies. A newborn baby weighs more than two hundred pounds. It is about three feet high. The new baby is strong, too. Almost as soon as it is born, it can walk about. (ย่อหน้านี้กล่าวถึงลูกช้างว่าเป็นลูกสัตว์บก (land babies) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด โดยบอกว่า ลูกช้างที่เกิดใหม่ จะมีน้ำหนักมากกว่า 200 ปอนด์ และสูงราว ๆ 3 ฟุต นอกจากนี้ ยังแข็งแรงด้วย เพราะตอนที่คลอดออกมา มันจะสามารถเดินได้ทันที ดังนั้น ใจความสำคัญ (main idea) จึงอยู่ที่ประโยคแรก คือ A baby elephant is the biggest of all land babies.)
2.2 อยู่ตรงกลางเรื่อง
ตัวอย่าง:  Keep your tree outdoors until the day before Christmas. Never use lighted candles. There are also other suggestions for avoiding a Christmas tree fire. Turn off the lights before you leave the house and throw away the tree by New Year's Day. (ย่อหน้านี้กล่าวถึงคำแนะนำ เพื่อหลีกเลี่ยง มิให้เกิดไฟไหม้ต้นคริสต์มาสว่า ให้นำต้นคริสต์มาสไปไว้นอกบ้าน ก่อนจะถึงวันคริสต์มาสและไม่ให้จุดเทียนไว้ด้วย นอกจากนี้ ยังแนะนำอีกว่า ให้ปิดไฟก่อนออกจากบ้าน และทิ้งต้นไม้เมื่อถึงวันปีใหม่ ดังนั้น ใจความสำคัญ (main idea) จึงอยู่ที่ประโยคกลาง คือ There are also other suggestions for avoiding a Christmas tree fire.)

2.3 อยู่ท้ายเรื่อง (มีการกล่าวซ้ำอีกครั้งในตอนท้าย)
ตัวอย่าง: Most people are free to enjoy themselves in the evenings and on weekends. Some spend their time watching television, listening to the radio, or going to movies; others participate in sports. It depends on their interests. There are various ways to spend one's free time.   (ย่อหน้านี้กล่าวถึง การใช้เวลาว่างของคนในตอนเย็น และวันสุดสัปดาห์ว่า บางคนจะดูโทรทัศน์ บางคนฟังวิทยุ ไปชมภาพยนตร์หรือไปเล่นกีฬา มันขึ้นอยู่กับความสนใจของแต่ละคน มีวิธีที่จะใช้เวลาว่างมากมายหลายวิธี ดังนั้น ใจความสำคัญ (Main Idea) จึงอยู่ที่ประโยคท้าย คือ There are various ways to spend one's free time.
2.4 ไม่อยู่ในประโยคใดประโยคหนึ่ง แต่ต้องสรุปเอง                                               โดยนัยดังที่กล่าวแล้วว่า การหา main idea นั้น จะต้องมีการค้นหา topic ก่อน ดูว่าเรื่องที่อ่านกล่าวถึงคำนามตัวไหนบ่อยที่สุด (topic Noun) แล้วดูว่ามีการกล่าวถึงนามคำนั้นว่าอย่างไร (Topic Idea) แล้วจึงดูว่าข้อความที่เป็นใจความสำคัญของเรื่อง topic idea นั้นอยู่ในประโยคใด ประโยคนั้นแหละเป็น Topic sentence หรือ Main Idea

คำถามที่นิยมใช้มากถามเกี่ยวกับใจความสำคัญ (Main Idea)
1. What is the author's main point?
2. The main thought of this passage is _____ .
3. The main theme of the passage is _____ .
4. The best statement of this passage's main thought is that _____ .
5. What is the main idea of the passage?
6. The passage is primarily concerned with ….
7. Which of the following statements expresses the main idea?



  Tips and Tricks    
       เคล็ดลับเด็ดๆ Main Idea: คำถามที่ถามถึงความคิดหลักของประโยคหรือบางทีถามถึงชื่อเรื่อง Title ทุกครั้งที่อ่านเนื้อเรื่องจึงต้อง หมั่นหา key word หรือ คำ วลี หรือประโยคซ้ำๆ กรุณาอย่าลืมความสำคัญของ paragraph แรกโดยเฉพาะประโยคแรกซึ่งมักจะ สื่อความคิดหลักของเนื้อเรื่องให้กับผู้อ่าน วิธีสังเกตง่ายมาก –*ใน Passage ทั่วไปถ้ามีการพูดถึงคำนามคำไหนมากที่สุด นั่นคือ Main Idea

ข้อควรสังเกตในการหาใจความสำคัญ (Main Idea)
1. Main idea มักจะขยายหัวเรื่อง (Topic) ของบทความ
2. Main idea อาจซ่อนอยู่ในประโยคต้นๆของบทความ
3. Main idea อาจเขียนซ่อน อยู่ตรงกลางหรือ ในประโยคท้ายๆ ของบทความ

มาฝึกทำแบบฝึกหัดกันเถอะ
แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความสำคัญ (Reading for Main Idea Exercises)

Directions: Read and find the main ideas of all these short passages


1. After the hurricane, there was no water and not much food on the island. It is still very bad. Many people no longer have homes and living in schools. Others are in hospitals. We need help from other countries.
A. The writer wants to help for his family.                                   
B. The writer wants to help for his country.
C. The writer wants some food for his country.


2. John never has any money. He has a good salary, but he’s always borrowing money, “Where does it go?” asks his mother. “Don’t ask me, says John, “All I do is buy clothes, go to the theater and eat in the restaurants.”
 A. John eats in restaurants.
B. John’s mother buys clothes with his money.
C. John uses all his money and doesn’t save.


3. Erika liked the blue dress and wanted to buy it. “How much is it?” She asked. “Twenty   ninety-five,” said the clerk. “Oh, I don’t have that much money,” said Erika. “You can charge it,” answered the clerk.
A. The dress was twenty ninety-five.
B. Erika liked the dress and wanted to buy it.                                  
C. Erika didn’t have the money.


4. Mr. James has a financial problem. He tries to pay his bills every month. This month he paid the rent, the gas company, and the department stores. He didn’t pay his electricity bill. Now Mr. James can’t even watch television!
 A. Mr. James doesn’t have television.                                                               
B. Mr. James doesn’t have gas.
C. Mr. James doesn’t have electricity.


5. Bicycles are very popular today in many countries. Many people use bicycles for exercise. But exercise is only one of the reasons why bicycle are popular. Another reason is money. Bicycles are not expensive to buy. They do not need gas to make them go. They also are easy and cheap to fix. In cities, many people like bicycles better than cars. With a bicycle, they never have to wait in traffic. They also do not have to find a place to park. And finally, bicycles do not cause any pollution!
A. Bicycles are better than cars.   
B. Bicycles do not cause the pollution.               
C. Bicycles are popular today for many people.

เฉลยแบบฝึกหัด
1.B 2. C 3. C 4. C 5. C 

Tip & Tricks for Reading




5 เทคนิคการฝึกฝนทักษะการอ่านอย่างฉลาด


  1. การอ่านอย่างมีสติ สมาธิ เป็นสิ่งที่คุณต้องฝึกฝนเป็นอย่างแรก
  2. การอ่านผ่าน ข้าม สรุป และเลือกอ่านเฉพาะสิ่งที่คุณต้องการเท่านั้น ผสมผสานความรู้ใหม่เข้ากับสิ่งที่คุณรู้อยู่แล้ว
  3. พยายามสแกนอ่านแต่ละหน้าอย่างรวดเร็วภายในไม่กี่วินาที อ่านแบบค้นหา เฉพาะเจาะจงว่าใคร ทำ อะไร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร
  4. แปลศัพท์ที่ยาก + ขีดเส้นใต้และทำความเข้าใจกับมัน และทบทวนเสมอว่าเป้าหมายที่คุณอ่านคืออะไร
  5. ถ้าคุณอ่านลดเสียงในใจมากเท่าไร คุณจะยิ่งอ่านได้เร็วขึ้นเท่านั้น ยิ่งอ่านจริงจังเท่าไร คุณจะยิ่งเข้าใจมากขึ้นเท่านั้น และห้ามอ่านแบบขยับปาก







Present Continuous Tense



Present Continuous Tense เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน การกระทำนั้นๆ กำลังเกิดขึ้นในขณะที่พูดอยู่แม้จะเป็นต่อหน้า หรือการคาดเดาว่าจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนในอนาคต โดยจะมีรูปแบบโครงสร้างของประโยคดังนี้
Subject + is, am, are + v.ing
โดยจะสามารถแสดงช่วงเวลาของการเกิดเหตุการณ์ได้ดังรูปต่อไปนี้
ลักษณะประโยค Present continuous tense



subject
 be

present participle

ประโยคบอกเล่า
I
am

speaking
to her.
You
are

reading
this book.
ประโยคปฏิเสธ
She
is
not
staying
in Thailand.
We
are
not
playing
basketball.
ประโยคคำถาม
Is
he

watching
movie?
Are
they

waiting
for you?

หลักการใช้ Present Continuous Tense
1. ใช้ในเหตุการณ์ที่กำลังกระทำอยู่ในขณะที่พูด(ใช้ now ร่วมด้วยก็ได้ โดยใส่ไว้ต้น ประโยค, หลังกริยา หรือสุดประโยคก็ ได้).
2. ใช้ในเหตุการณ์ที่กำลังกระทำอยู่ในระยะเวลาอันยาวนาน เช่น ในวันนี้ ,ในปีนี้ .
3. ใช้กับเหตุการณ์ที่ผู้พูดมั่นใจว่าจะต้องเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ เช่น เร็วๆนี้, พรุ่งนี้.
*หมายเหตุ กริยาที่ทำนานไม่ได้ เช่น รัก ,เข้าใจ, รู้, ชอบ จะนำมาแต่งใน Tense นี้ไม่ได้.
f63.gif



1a.gif1 ประโยค Present Progressive Tense เชิงบอกเล่า
โครงสร้าง: Subject + is, am, are + Verb 1 ing.
( ประธาน + is, am, are + กริยาช่อง 1 เติม ing.)
ตัวอย่าง
  • 1. Somchai is sleeping. ( สมชายกำลังนอนหลับ )
  • 2. I am playing football. ( ฉัน กำลังเล่น ฟุตบอล )
  • 3. They are watching TV. ( พวกเขากำลังดูโทรทัศน์ )
hime-ribon.gif


1a.gif2 ประโยค Present Progressive Tense เชิงปฏิเสธ
เมื่อต้องการแต่งประโยค Present Progressive Tense ให้มีความหมาย เชิงปฏิเสธให้นำ not มาเติมหลัง Verb to be ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้
โครงสร้าง: Subject + is, am, are + not + Verb 1 ing.
( ประธาน + is, am, are + not + กริยาช่อง 1 เติม ing. )
ตัวอย่าง : 
  • 1. Somchai is not ( isn’t ) sleeping. ( สมชายไม่ได้กำลังนอนหลับ )
  • 2. They are not ( aren’t ) watching TV. ( พวกเขาไม่ได้กำลังดูโทรทัศน์ )
hime-tiara.gif



1a.gif3 ประโยค Present Progressive Tense เชิงคำถามและการตอบ
เมื่อต้องการแต่งประโยค Present Progressive Tense ให้มีความหมาย เชิงคำถามให้นำ Verb to be มาวางไว้หน้าประโยคและตอบด้วย 
Yes หรือ No ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้
โครงสร้าง: Is, Am, Are + Subject + Verb 1 ing. ?
( Is, Am, Are +ประธาน + กริยาช่อง 1 เติม ing. ? )
ตัวอย่าง
1. Is Somchai sleeping ? ( สมชายกำลังนอนหลับใช่หรือไม่ )
  • -Yes, he is . ( ใช่ เขากำลังนอนหลับ )
  • -No, he isn’t. ( ไม่เขาไม่ได้กำลังนอนหลับ )
2. Are they studying English ? (พวกเขากำลังเรียนภาษาอังกฤษใช่หรือไม่ )
  • -Yes, they are. ( ใช่พวกเขากำลังเรียน )
  • -No, they aren’t . ( ไม่พวกเขาไม่ได้กำลังเรียน )


*หลักการเติม ing ท้ายคำกริยา

1. คำกริยาธรรมดา ให้เติม ing ได้เลย เช่น
    • speak ( พูด ) - speaking
    • eat (กิน) - eating
2. คำกริยาที่มีพยางค์เดียว มีตัวสะกดตัวเดียว ให้เพิ่มตัวสะกดอีก 1 ตัว แล้วเติม ing เช่น
    • sit ( นั่ง ) - sitting
    • run ( วิ่ง ) - running
3. คำกริยาที่ลงท้ายด้วย e เพียงตัวเดียวให้ตัด e ทิ้งแล้วเติม ing เช่น
  • come ( มา ) - coming
  • drive ( ขับรถ ) - driving
4. คำกริยาที่ลงท้ายด้วย ie ให้เปลี่ยน ie เป็น y แล้วเติม ing เช่น
  • die ( ตาย ) - dying
  • lie ( นอน ) - lying

ลองมาทำแบบฝึกหัดกันหน่อยนะ

Exercise 1: Put in the verb in brackets into the gaps and form affirmative sentences.

1) Alexander ______________a film. (to watch)   2) We ____________a computer game. (to play)

3) The dog _____________at the cat. (to bark)   4) Peter ___________his rabbits. (to feed)

5) Philip and Johnny _____________a song. (to sing)

Exercise 2: Match the questions to the answers. 
...........    1.  Are you going home?                                   a. Yes, she is.
...........    2.  What are you reading?                                 b. No, he isn’t.
...........    3.  Is She baking a cake?                                   c. Yes, they are.
...........    4.  Is Dave diving into the sea?                        d. No, I’m not.
...........    5. Is Mary playing cards?                                 e. They are going on holiday.
...........    6. Are they playing soccer?                              f. No, she isn’t.
...........    7. Is the lion sleeping under the tree?              g. A new Harry Potter book.
...........    8.  Where are they going?                                 h. Stephie is singing .
...........    9.  Who is singing ?                                           i. No, I am not.                                                                                             ...........  10. Are you sure going into the bear’s cave?      j. No, it is hunting. 


คลิ๊กสักนิด:เรียนภาษาอังกฤษ จำสูตรนี้ จะเก่งอย่างรวดเร็ว(ให้ลูกหลานดูด้วย)